На этой странице может содержаться сторонний контент, который предоставляется исключительно в информационных целях (не в качестве заявлений/гарантий) и не должен рассматриваться как поддержка взглядов компании Gate или как финансовый или профессиональный совет. Подробности смотрите в разделе «Отказ от ответственности» .
Спрос и предложение: ключевые факторы, влияющие на цены акций и активов на рынке
นักลงทุนหลายคนมักสงสัยว่า ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามเกณฑ์อะไร บางคนคิดว่าเป็นข่าวข่าวสาร บางคนว่าเป็นความเชื่อมั่นตลาด แต่ความจริงแล้ว คำตอบอยู่ที่หลักการพื้นฐานที่เรียกว่า อุปสงค์และอุปทาน ทั้งนี้ความเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้นักเทรดสามารถจับจังหวะซื้อขายได้แม่นยำขึ้น และคาดการณ์แนวโน้มราคาได้อย่างมีเหตุผล
ความหมายพื้นฐานของอุปสงค์และอุปทาน
อุปสงค์ (Demand) คืออะไร
อุปสงค์ เป็นความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ กัน ถ้านำมาเขียนเป็นกราฟจะได้เส้นโค้งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณที่ผู้ซื้ออยากได้
หากพูดง่าย ๆ เส้นอุปสงค์บอกเราว่า “ที่ราคาหนึ่ง ๆ ผู้ซื้อต้องการซื้อสินค้าเท่าไหร่” นอกจากนี้ยังบอกได้ว่า “ผู้บริโภคยอมจ่ายราคาสูงสุดเท่าไหร่เพื่อให้ได้สินค้าในปริมาณที่ต้องการ”
กฎของอุปสงค์ อธิบายว่าความต้องการซื้อกับราคาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกันเสมอ ขึ้นในจุดนี้มีความกระทบสองด้าน ได้แก่
ผลทางรายได้ (Income Effect): เมื่อราคาสินค้าลดลง เงินในกระเป๋าของคุณสามารถซื้อของได้มากขึ้น (มูลค่าแท้จริงเพิ่ม) จึงซื้อปริมาณเพิ่มขึ้น
ผลทางการทดแทน (Substitution Effect): เมื่อราคาสินค้านี้ลดลงเทียบกับสินค้าอื่นที่คล้ายกัน คนจะเลือกซื้อสินค้านี้มากขึ้นแทนการซื้อสินค้าอื่น
ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์ นอกเหนือจากราคา ยังมี:
อุปทาน (Supply) คืออะไร
อุปทาน หมายถึงความต้องการขายสินค้าหรือบริการในระดับราคาต่าง ๆ นำไปเขียนเป็นกราฟจะได้เส้นโค้งอุปทาน (Supply Curve) ที่แสดงปริมาณสินค้าที่ผู้ขายเต็มใจเสนอขายในแต่ละระดับราคา
กฎของอุปทาน แตกต่างจากอุปสงค์ โดยอุปทานและราคาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน: ถ้าราคาสูงขึ้น ผู้ขายยินดีเสนอขายมากขึ้น เพราะกำไรเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าราคาต่ำลง ผู้ขายจะลดปริมาณเสนอขาย
ปัจจัยที่กำหนดอุปทาน:
ดุลยภาพตลาด: จุดที่ราคากำหนดขึ้น
อุปสงค์และอุปทานเพียงลำพังไม่สามารถกำหนดราคาได้ ราคาจริง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดจะกำหนดที่ ดุลยภาพ (Equilibrium) ซึ่งเป็นจุดที่เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานตัดกัน
ที่จุดนี้ปริมาณที่ผู้ซื้ออยากซื้อเท่ากับปริมาณที่ผู้ขายอยากขาย ราคาจึงอยู่ในสถานะสมดุล และมีแนวโน้มจะคงอยู่ที่นี้ เพราะ
เมื่อราคาสูงกว่าดุลยภาพ: ผู้ขายต้องการขายเยอะ แต่ผู้ซื้อซื้อน้อย ทำให้มีสินค้าคงคลัง ผู้ขายจึงถูกบังคับลดราคา จนกว่าจะกลับมาที่ดุลยภาพ
เมื่อราคาต่ำกว่าดุลยภาพ: ผู้ซื้ออยากซื้อเยอะ แต่ผู้ขายขายน้อย ทำให้สินค้าขาดแคลน ผู้ขายจึงสามารถเพิ่มราคาขึ้นได้จนกว่าจะกลับมาที่ดุลยภาพ
อุปสงค์และอุปทานในตลาดการเงิน
ในตลาดหุ้นและสินทรัพย์ทางการเงิน อุปสงค์และอุปทาน ยังคงมีบทบาทสำคัญ แต่ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานจะซับซ้อนกว่า
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปสงค์ในตลาดหุ้น
สถานการณ์มหภาค: การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดส่งผลต่อความต้องการลงทุนของนักลงทุน เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจึงแสวงหาผลตอบแทนสูงในตลาดหุ้น ทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น
สภาพคล่องตลาด: ปริมาณเงินที่มีจำนวนมากในระบบจะสนับสนุนการลงทุน เมื่อสภาพคล่องสูง ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) จะเพิ่มขึ้น
ความเชื่อมั่นของตลาด: ความคาดหวังเกี่ยวกับอนาคตเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท หรือสถานการณ์การเมืองส่งผลใหญ่ต่อการตัดสินใจซื้อขาย
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปทานในตลาดหุ้น
นโยบายของบริษัท: การเพิ่มทุน IPO หรือการซื้อหุ้นคืนส่งผลต่อจำนวนหุ้นในตลาคโดยตรง เช่น การซื้อหุ้นคืนลดปริมาณหุ้นในตลาด ส่วนการเพิ่มทุนเพิ่มปริมาณ
ข้อบังคับตลาด: กฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์เช่น Silent Period ที่จำกัดการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่
อุปสงค์และอุปทานกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
การวิเคราะห์ด้านพื้นฐาน
หุ้นถือได้ว่าเป็นสินค้า ดังนั้นจึงสามารถนำหลักอุปสงค์และอุปทานมาประยุกต์ใช้ได้ เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แสดงว่าอุปสงค์ (แรงซื้อ) มีแรง ในทางตรงกันข้าม เมื่อราคาลด แสดงว่าอุปทาน (แรงขาย) มีแรง
จากมุมมองพื้นฐาน การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์มาจากการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าที่ควรจะเป็นของบริษัท (Intrinsic Value) ปัจจัยเหล่านี้ยกตัวอย่างเช่น:
เมื่อข้อมูลเชิงบวกถูกเผยแพร่ ผู้ซื้อยินดีจ่ายราคาสูงขึ้น ขณะที่ผู้ขายชะลอการขาย ทำให้ราคาปรับขึ้น ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลเชิงลบจะทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ ขณะที่ผู้ขายเร่งการขาย ทำให้ราคาปรับลง
การวิเคราะห์ด้านเทคนิค
อุปสงค์และอุปทานยังถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยใช้ราคา ปริมาณ และแนวโน้มเพื่อคาดการณ์ราคา
1) การวิเคราะห์แท่งเทียน (Candlestick Analysis)
แท่งเทียนสีเขียว (ราคาปิด > ราคาเปิด) แสดงว่าอุปสงค์มีแรง และราคามีโอกาสขยับขึ้นต่อ
แท่งเทียนสีแดง (ราคาปิด < ราคาเปิด) แสดงว่าอุปทานมีแรง และราคามีโอกาสปรับลงต่อ
แท่งเทียนโดจิ (เปิด = ปิด) บ่งบอกว่าทั้งอุปสงค์และอุปทานปะทะเท่า ๆ กัน ราคาจึงไม่มีทิศทางชัด
2) การพิจารณาแนวโน้ม (Market Trend)
ถ้าราคาทำจุดสูงใหม่เรื่อย ๆ อุปสงค์ยังคงมีแรง ราคาจะขยับขึ้นต่อ
ถ้าราคาทำจุดต่ำใหม่เรื่อย ๆ อุปทานมีแรงมาก ราคาจะปรับตัวลงเรื่อยๆ
ถ้าราคาเคลื่อนไหวในกรอบนอก (ไม่ทำจุดสูง/ต่ำใหม่) แสดงว่าทั้งสองฝ่ายมีแรงเท่า ๆ กัน
3) การหาแนวรับแนวต้าน (Support & Resistance)
แนวรับ คือจุดที่มีอุปสงค์รอซื้ออยู่ (นักลงทุนคิดว่าราคาถูกตรงนี้) เมื่อราคาปรับตัวลงมาถึงแนวนี้ ราคามักจะกลับตัวขึ้น
แนวต้าน คือจุดที่มีอุปทานรออยู่ (นักลงทุนคิดว่าราคาแพงตรงนี้) เมื่อราคาปรับตัวขึ้นมาถึงแนวนี้ ราคามักจะกลับตัวลง
เทคนิค Demand Supply Zone: การประยุกต์ใช้จริง
เทคนิค Demand Supply Zone ใช้หลักการของอุปสงค์และอุปทานเพื่อจับจังหวะซื้อขาย โดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก
1) การเทรดจุดกลับตัว (Reversal)
Demand Zone Drop Base Rally (DBR) - การกลับตัวเป็นขาขึ้น
ราคาดิ่งลงแรง (Drop) เพราะอุปทานเกินดุล แล้วเกิดการพักตัว (Base) เมื่อแรงขายชะลอและแรงซื้อเริ่มเข้ามา เมื่อมีข่าวดี ราคาจะทะลุกรอบบนและวิ่งขึ้น (Rally) นักเทรดสามารถเข้าทำรายการที่จุดบ่ง (Breakout) ของกรอบพักตัว
Supply Zone Rally Base Drop (RBD) - การกลับตัวเป็นขาลง
ราคาวิ่งขึ้นแรง (Rally) เพราะอุปสงค์เกินดุล แล้วเกิดการพักตัว (Base) เมื่อแรงซื้อชะลอและแรงขายเข้ามา เมื่อมีข่าวไม่ดี ราคาจะทะลุกรอบล่างและดิ่งลง (Drop) นักเทรดสามารถเข้าทำรายการที่จุดบ่ง
2) การเทรดตามแนวโน้มต่อเนื่อง (Continuation)
Demand Zone Rally Base Rally (RBR) - ขาขึ้นต่อเนื่อง
ราคาวิ่งขึ้น (Rally) แล้วพักตัว (Base) แต่แรงซื้อกลับมาแข็ง ราคาจึงวิ่งขึ้นต่อจนหาดุลยภาพใหม่
Supply Zone Drop Base Drop (DBD) - ขาลงต่อเนื่อง
ราคาดิ่งลง (Drop) แล้วพักตัว (Base) แต่แรงขายกลับมาแข็ง ราคาจึงดิ่งลงต่อจนหาดุลยภาพใหม่
สรุป
อุปสงค์และอุปทาน เป็นหลักการพื้นฐานที่อธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและสินทรัพย์ในตลาด ความเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ราคาได้ดีขึ้น
ไม่ว่าคุณจะใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน (ดูที่มูลค่าบริษัท) หรือการวิเคราะห์เทคนิค (ดูที่ราคาและปริมาณ) ก็ยังเกี่ยวข้องกับอุปสงค์และอุปทานอยู่ดี สิ่งสำคัญคือการศึกษาอย่างต่อเนื่องและการนำไปประยุกต์กับราคาสินทรัพย์จริง เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจลึกขึ้น