## ทรัสต์ (Trust) เทียบกับ REIT กับกองทุนรวม แล้วอันไหนเหมาะสำหรับคุณ

นักลงทุนหลายคนมักสับสนระหว่างการลงทุนผ่านเครื่องมือต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่า ทรัสต์ (Trust), REIT, หรือกองทุนรวม หลายคนอาจคิดว่ามันคือสิ่งเดียวกัน แต่ความจริงแล้วแต่ละตัวมีลักษณะและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก คราวนี้เราจะมาพูดถึงความแตกต่างเหล่านี้และช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือลงทุนที่เหมาะสมที่สุด

### ทรัสต์ (Trust) คือเครื่องมือบริหารสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นมากที่สุด

ทรัสต์ (Trust) โดยพื้นฐานคือการจัดการเงินหรือสินทรัพย์ผ่านคนกลาง ซึ่งเรียกว่า ทรัสตี (Trustee) โดยผู้ที่ก่อตั้งทรัสต์ (Settlor) จะโอนสินทรัพย์ให้แก่ทรัสตี เพื่อให้ทรัสตีบริหารจัดการและนำผลประโยชน์มาจ่ายให้แก่ผู้รับประโยชน์ (Beneficiary)

สิ่งที่ทำให้ทรัสต์พิเศษคือ มันไม่ถูกจำกัดว่าต้องบริหารสินทรัพย์ประเภทใดโดยเฉพาะ สามารถเป็นได้ทั้งเงินสด, อสังหาริมทรัพย์, หุ้น, พันธบัตร, ธุรกิจ, หรือแม้กระทั่งสิ่งประเมินค่าได้ตราบใดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้

### ทรัสต์มีประเภทมากมายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์

การตั้งทรัสต์สามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภท เช่น ทรัสต์ที่สามารถเพิกถอนได้ (Revocable Trust) ซึ่งผู้ก่อตั้งสามารถยกเลิกหรือแก้ไขได้ตลอดเวลา และ ทรัสต์ที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ (Irrevocable Trust) ซึ่งเมื่อตั้งแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

นอกจากนี้ยังมีทรัสต์เพื่อการเลี้ยงดูทรัพย์ (Asset Protection Trust), ทรัสต์เพื่อการกุศล (Charitable Trust), ทรัสต์เพื่อการจัดการมรดก, หรือทรัสต์เพื่อจุดประสงค์เฉพาะอื่น ๆ ตามความต้องการของผู้ตั้ง

### ประโยชน์ของการตั้งทรัสต์

ทรัสต์นำเสนอความยืดหยุ่นที่มากกว่าการจัดการทรัพย์สินแบบอื่น เพราะสามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและวิธีการบริหารได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังมีข้อดี เช่น

- **ความปลอดภัยของสินทรัพย์**: ทรัสต์ช่วยปกป้องสินทรัพย์จากมูลนิธิด้านเหล่าอื่น และช่วยให้สินทรัพย์ผ่านการสืบทอดได้อย่างราบรื่น
- **ประโยชน์ด้านภาษี**: ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ การตั้งทรัสต์อาจให้ประโยชน์ด้านภาษีแก่ผู้ก่อตั้งหรือผู้รับประโยชน์
- **การบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ**: เมื่อผู้ก่อตั้งป่วยหรือไร้ความสามารถ ทรัสตีสามารถบริหารสินทรัพย์ต่อได้โดยไม่มีปัญหา

### องค์ประกอบสำคัญของการตั้งทรัสต์

เพื่อให้ทรัสต์มีผลบังคับใช้ต้องมีองค์ประกอบสามส่วน

1. **ความแน่นอนในเจตนา (Certainty of Word)**: ต้องมีเอกสารชัดเจนระบุความตั้งใจของผู้ก่อตั้ง
2. **ความแน่นอนของสินทรัพย์ (Certainty of Subject Matter)**: สินทรัพย์ต้องมีอยู่จริง เป็นรูปธรรม และสามารถบริหารจัดการได้
3. **ความแน่นอนของผู้รับประโยชน์ (Certainty of Object)**: ผู้รับประโยชน์ต้องเป็นบุคคลจริงที่มีตัวตน

## REIT คือทรัสต์ที่เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น

ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust – REIT) ถือเป็นกรณีพิเศษของทรัสต์ ข้อแตกต่างหลักคือ REIT จำกัดตัวเองให้บริหารเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, หรือศูนย์กระจายสินค้า

แม้ว่า REIT เป็นทรัสต์ แต่ไม่ใช่ทุกทรัสต์จะเป็น REIT เพราะทรัสต์สามารถบริหารสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ทำให้ REIT เป็นเฉพาะส่วนของทรัสต์ที่มุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์

### ข้อดีของการลงทุน REIT

- **เข้าถึงสินทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ง่าย**: นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล
- **กระแสเงินสดที่มั่นคง**: REIT มักมีสัญญาเช่าระยะยาว ทำให้ได้รับรายได้ที่คาดการณ์ได้ดี
- **ความโปร่งใส**: สินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ดูแลว่า และเป็นมูลค่าได้ค่อนข้างสม่ำเสมอ

## กองทุนรวม (Fund) ใช้โครงสร้างแตกต่างจากทรัสต์

กองทุนรวม (Mutual Fund) เป็นรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างค่อนข้างมากจากทรัสต์ โดยกองทุนรวมจะรวบรวมเงินลงทุนจากนักลงทุนหลายคน แล้วนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายของกองทุน แล้วนำผลตอบแทนจ่ายแบ่งปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

### ความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างทรัสต์และกองทุน

- **นิติบุคคล**: กองทุนรวมมีสถานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งหมายความว่ามันสามารถมีจำนวนเงินประกันต้น, ใบรับรอง, หรือทำสัญญากับผู้อื่นได้ ในขณะที่ทรัสต์ไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย
- **การจดทะเบียน**: กองทุนรวมต้องมีการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการและการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ในขณะที่ทรัสต์มีระดับของความยืดหยุ่นมากกว่า

## ทรัสต์ในประเทศไทยมีรูปแบบใดให้เลือก

ทรัสต์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งในประเทศไทยถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

### 1. ทรัสต์สำหรับการบริหารและจัดการลงทุน (Active Trust)

ทรัสต์ประเภทนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อบริหารทรัพย์สินให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น

- **II/HNW Trust Fund**: ทรัสต์เพื่อการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายใหญ่
- **REIT**: ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

### 2. ทรัสต์สำหรับการถือครองทรัพย์สิน (Passive Trust)

ทรัสต์ประเภทนี้ตั้งขึ้นเพื่อดูแลสินทรัพย์ตามจุดประสงค์เฉพาะ ตัวอย่างเช่น

- **ESOP Trust**: ทรัสต์เพื่อการออกและเสนอขายหุ้นให้แก่กรรมการและพนักงาน
- **EJIP Trust**: ทรัสต์เพื่อโครงการร่วมลงทุนระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
- **Reserve Account Trust**: ทรัสต์เพื่อตั้งบัญชีเงินสำรอง หรือ Sinking Fund เพื่อการชำระหนี้พันธบัตร

ปัจจุบันการลงทุนในทรัสต์ของนักลงทุนทั่วไปในประเทศไทยยังจำกัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นการลงทุนผ่าน REIT ซึ่งเป็นข้อดีในแง่ที่สินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าดูแลได้ไม่ยาก ทำให้นักลงทุนมือใหม่สามารถเข้าซื้อขายได้อย่างมั่นใจ

## สรุป: ท่านควรลงทุนประเภทไหน

ทรัสต์ (Trust) ย่อมาจากเครื่องมือบริหารสินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นสูง และเป็นพื้นฐานของรูปแบบการลงทุนหลายประเภท รวมถึง REIT ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือบริหารสินทรัพย์ที่เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์

หากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ขนาดใหญ่แต่ไม่มีเงินทุนมากมาย REIT ก็เป็นตัวเลือกที่ดี หากคุณต้องการการจัดการเงินที่มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ทรัสต์ที่เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี และหากคุณต้องการระดับของความสะดวกในการเข้าถึงพอร์ตโฟลิโอหลากหลาย กองทุนรวมก็สามารถนำเสนอความหลากหลายนั้นได้