Khấu hao dịch: Hiểu về giá trị hao mòn và tầm quan trọng của nó trong phân tích tài chính

ค่าเสื่อมราคาคืออะไร และเหตุใดจึงสำคัญต่อนักลงทุน

เมื่อคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ สินทรัพย์ที่คุณซื้อจะค่อย ๆ สูญเสียมูลค่าไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ อาคาร หรือเครื่องจักร ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการบัญชีและการวิเคราะห์ทางการเงิน

ค่าเสื่อมราคา depreciation แปล ได้ว่า เป็นกระบวนการที่นักบัญชีจัดสรรต้นทุนของสินทรัพย์ถาวรออกเป็นรายปี ตลอดช่วงอายุการใช้งานที่คาดหมายของสินทรัพย์นั้น ด้วยการนี้ บริษัทสามารถสะท้อนการลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ในงบการเงินได้อย่างสมเหตุสมผล

สำหรับนักลงทุน การเข้าใจค่าเสื่อมราคาเป็นสิ่งที่ไม่ได้ขาดไม่ได้ เพราะ:

  • มันส่งผลต่อกำไรสุทธิที่รายงานในงบกำไรขาดทุน
  • มันสัมพันธ์กับการคำนวณ EBIT และ EBITDA
  • มันช่วยให้เราเปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ ได้อย่างเป็นธรรม

กลไกการทำงานของค่าเสื่อมราคา

มูลค่าสินทรัพย์ลดลงตามเวลา

นัยยะของค่าเสื่อมราคามีสองประเด็นหลัก:

  1. มูลค่าตามจริงลดลง - เมื่อเวลาผ่านไป สินทรัพย์กายภาพสูญเสียมูลค่าเนื่องจากการใช้งาน การเสื่อม หรือเทคโนโลยีล้าสมัย

  2. การจัดสรรต้นทุนเพื่อการจับคู่รายได้ - หากคุณซื้อเครื่องจักรราคา 100,000 บาท ที่จะใช้ได้ 5 ปี การจัดสรร 20,000 บาทต่อปีจะเชื่อมโยงต้นทุนกับรายได้ที่ได้รับในแต่ละปี

อายุการใช้งาน: ปัจจัยสำคัญ

อายุการใช้งานโดยประมาณของสินทรัพย์ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินทรัพย์นั้น ตัวอย่างเช่น:

  • คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป: ประมาณ 5 ปี
  • รถยนต์: 5-10 ปี
  • อาคาร: 20-40 ปี
  • เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน: 5-10 ปี

ค่าเสื่อมราคากับการวิเคราะห์ทางการเงิน

ความสัมพันธ์กับ EBIT และ EBITDA

ค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงินสด ดังนั้นจึงมีอิทธิพลต่อการคำนวณตัวชี้วัดทางการเงิน:

  • EBIT (Earnings Before Interest and Taxes) = กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี หลังจากหักค่าเสื่อมราคาแล้ว
  • EBITDA (Earnings Before Interest, Taxes, Depreciation, and Amortization) = EBIT บวกเข้ากลับหลัง ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

ความแตกต่างนี้สำคัญเมื่อเปรียบเทียบบริษัทที่มีโครงสร้างสินทรัพย์แตกต่างกัน ธุรกิจที่มีสินทรัพย์ถาวรมาก (เช่น การผลิต) จะมีค่าเสื่อมราคาสูง ในขณะที่ธุรกิจเบา (เช่น ซอฟต์แวร์) อาจไม่มี

ประเภทของสินทรัพย์ที่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้

สินทรัพย์ที่เสื่อมราคาได้

กรมสรรพากรและหลักการบัญชีสากลกำหนดว่าสินทรัพย์จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้เพื่อให้คิดค่าเสื่อมราคาได้:

  • เป็นสินทรัพย์จับต้องได้ - มีรูปร่างตัวตน (ไม่ใช่สินทรัพย์ไม่มีตัวตน)
  • เป็นที่ใช้ในธุรกิจ - นำมาใช้เพื่อสร้างรายได้
  • มีอายุการใช้งานที่กำหนดได้ - ไม่ใช่ทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดอายุ
  • คาดว่าจะใช้ได้นานกว่า 1 ปี - ค่าใช้จ่ายระยะสั้นจะบันทึกแตกต่างกัน

ตัวอย่างสินทรัพย์ที่เสื่อมราคาได้:

  • ยานพาหนะ
  • อาคารและโครงสร้าง
  • เครื่องจักรและอุปกรณ์
  • เฟอร์นิเจอร์และสิ่งประดับ
  • คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีตัวตน (สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์)

สินทรัพย์ที่ไม่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้

สินทรัพย์บางประเภทไม่ลดลงมูลค่า หรือไม่มีอายุการใช้งานที่แน่นอน ไม่สามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้:

  • ที่ดิน - ถือว่ามีมูลค่าคงอยู่ตลอดกาล
  • ของสะสม - ศิลปะ เหรียญ ของที่ระลึก (บางครั้งอาจเพิ่มมูลค่า)
  • การลงทุน - หุ้น พันธบัตร (มูลค่าไม่เสื่อมลงด้วยการใช้งาน)
  • ทรัพย์สินส่วนบุคคล - ที่อยู่อาศัยส่วนตัว
  • สินทรัพย์ระยะสั้น - ใช้ได้ไม่ถึง 1 ปี

วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา

บัญชีมี 4 วิธีหลักในการคิดค่าเสื่อมราคา แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสีย:

1. วิธีเส้นตรง (Straight-Line Method)

นี่คือวิธีที่ง่ายและนิยมใช้มากที่สุด โดยคิดค่าเสื่อมราคาเท่า ๆ กันทุกปี

สูตร: ค่าเสื่อมราคาประจำปี = (ต้นทุนสินทรัพย์ - มูลค่าซาก) ÷ อายุการใช้งาน

ตัวอย่าง: บริษัทซื้อรถยนต์ราคา 100,000 บาท คาดว่ามูลค่าซากเมื่อครบ 5 ปีคือ 10,000 บาท

  • ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (100,000 - 10,000) ÷ 5 = 18,000 บาทต่อปี

ข้อดี:

  • ง่ายต่อการคำนวณ
  • ลดความผิดพลาด
  • เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

ข้อเสีย:

  • ไม่สะท้อนความเป็นจริง เพราะสินทรัพย์อาจเสื่อมเร็วกว่าในช่วงแรก
  • ไม่คำนึงถึงค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นตามอายุ

2. วิธีลดลงสองเท่า (Double-Declining Balance)

วิธีการเร่งความเสื่อมราคา ให้ค่าเสื่อมราคาสูงในปีแรก ๆ แล้วค่อย ๆ ลดลง

หลักการ: คิดค่าเสื่อมราคาด้วยอัตราเดือนละ 2 เท่าของวิธีเส้นตรง แล้วนำไปคูณกับยอดคงเหลือ

ตัวอย่าง: สินทรัพย์ 100,000 บาท อายุ 5 ปี

  • อัตราเส้นตรง = 20% ต่อปี
  • อัตรา double-declining = 40% ต่อปี
  • ปีที่ 1: 100,000 × 40% = 40,000 บาท
  • ปีที่ 2: 60,000 × 40% = 24,000 บาท
  • ปีที่ 3: 36,000 × 40% = 14,400 บาท

ข้อดี:

  • สะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น เพราะสินทรัพย์เสื่อมเร็วในตอนแรก
  • ช่วยประหยัดภาษีในปีแรก ๆ
  • เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินสดฟื้นตัว

ข้อเสีย:

  • คำนวณซับซ้อนกว่า
  • อาจไม่ได้รับประโยชน์ภาษีถ้าบริษัทขาดทุนอยู่แล้ว

3. วิธีลดลงของยอดคงเหลือ (Declining Balance)

วิธีการเร่งคล้ายกับ double-declining แต่ใช้อัตรา fixed rate ที่ต่างกัน

นี่เป็นวิธีประนีประนอมระหว่างเส้นตรงและการเร่งความเสื่อมราคา ให้ค่าเสื่อมราคาสูงกว่าเส้นตรงในปีแรก แต่ไม่ถึงระดับ double-declining

4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)

คิดค่าเสื่อมราคาตามจำนวนการใช้งานจริง ไม่ใช่ตามเวลา

หลักการ: เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่มีผลผลิตวัดได้ เช่น เครื่องจักรในโรงงาน

สูตร: ค่าเสื่อมราคา = (ต้นทุนสินทรัพย์ ÷ หน่วยการผลิตทั้งหมด) × หน่วยการผลิตในปีนี้

ตัวอย่าง: เครื่องจักรราคา 100,000 บาท คาดว่าสามารถผลิตสินค้า 50,000 หน่วยตลอดอายุการใช้งาน

  • ปีที่ 1 ผลิตได้ 10,000 หน่วย ค่าเสื่อมราคา = (100,000 ÷ 50,000) × 10,000 = 20,000 บาท

ข้อดี:

  • เชื่อมโยงค่าเสื่อมราคากับการใช้งานจริง
  • สะท้อนความเป็นจริงที่สุด

ข้อเสีย:

  • ยากต่อการติดตามและคำนวณ
  • ต้องมีระบบบันทึกการใช้งานที่แม่นยำ

ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คืออะไร

แนวคิด: เมื่อ Depreciation แล้ว มี Amortization

หลายคนสับสนระหว่าง Depreciation กับ Amortization แต่ทั้งสองเป็นแนวคิดคล้ายกัน ใช้กับสินทรัพย์ประเภทต่างกัน

ค่าตัดจำหน่าย (Amortization) คือ กระบวนการทางบัญชีที่มูลค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตนหรือเงินกู้ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ประเภทของค่าตัดจำหน่าย

การตัดจำหน่ายเงินกู้ (Loan Amortization)

ผู้ยืมชำระหนี้เป็นงวด ประกอบด้วยดอกเบี้ยและเงินต้น

ตัวอย่าง: เงินกู้ 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี

  • ในตอนแรก การชำระรายเดือนส่วนใหญ่จะเป็นดอกเบี้ย
  • เมื่อเวลาผ่านไป สัดส่วนเงินต้นจะเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยจะลดลง
  • เมื่อครบกำหนด บริษัทจะชำระหนี้ครบถ้วน

การตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Asset Amortization)

ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า

ตัวอย่าง: บริษัทซื้อสิทธิบัตรราคา 10,000 บาท เพื่อใช้ 10 ปี

  • ค่าตัดจำหน่ายต่อปี = 10,000 ÷ 10 = 1,000 บาท

ความแตกต่างระหว่าง Depreciation และ Amortization

ประเด็น ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) ค่าตัดจำหน่าย (Amortization)
สินทรัพย์ สินทรัพย์จับต้องได้ (อาคาร เครื่องจักร) สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) หรือเงินกู้
วิธีคำนวณ เส้นตรง หรือ เร่งความเสื่อมราคา โดยทั่วไปใช้เส้นตรง
มูลค่าซาก พิจารณามูลค่าซาก (Salvage value) โดยปกติจะเสื่อมลงเป็นศูนย์
ความถี่ โดยทั่วไปรายปี รายปีหรือรายเดือน (เงินกู้)

บทสรุป

Depreciation แปล ว่า ค่าเสื่อมราคา เป็นแนวคิดพื้นฐานในการบัญชีที่ช่วยบริษัทบันทึกการลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ตามเวลา

สำหรับนักลงทุน การเข้าใจปัญหานี้มีประโยชน์:

  • ช่วยวิเคราะห์งบการเงินได้ลึกซึ้ง
  • ช่วยเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเป็นธรรม
  • ช่วยตัดสินใจลงทุนได้ฉลาดยิ่งขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น depreciation หรือ amortization ทั้งสองเป็นเครื่องมือสำคัญที่บริษัทใช้เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ และช่วยให้เราเข้าใจสภาพการเงินของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Xem bản gốc
Trang này có thể chứa nội dung của bên thứ ba, được cung cấp chỉ nhằm mục đích thông tin (không phải là tuyên bố/bảo đảm) và không được coi là sự chứng thực cho quan điểm của Gate hoặc là lời khuyên về tài chính hoặc chuyên môn. Xem Tuyên bố từ chối trách nhiệm để biết chi tiết.
  • Phần thưởng
  • Bình luận
  • Đăng lại
  • Retweed
Bình luận
0/400
Không có bình luận
  • Ghim