Tại sao hỗ trợ và kháng cự lại là vũ khí quan trọng của các nhà giao dịch, cả trong việc xác định điểm vào ra và quản lý rủi ro

สำหรับใครที่ลุ่มหลงในโลกของการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน การเข้าใจลักษณะของแนวต้านคือหนึ่งในทักษะที่ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ เพราะเมื่อเราสามารถมองเห็นจุดแข็งของราคาได้ก็เหมือนมีกำลังเหนือคู่แข่งครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่เพียงแต่ช่วยในการหาจุดประตูเข้าออกได้สะดวก แล้วแนวรับและแนวต้านยังบอกเราได้ว่าไหนคือพื้นที่ที่ควรเสี่ยง และไหนคือพื้นที่ที่ควรไล่ผลกำไร

จุดเริ่มต้น: ความหมายของแนวรับและแนวต้านในเชิงลึก

แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ไม่ใช่แค่เส้นบนกราฟที่วาดขึ้นมาเพื่อความสวยงาม แต่เป็นเขตราคาที่ผู้เทรดทั่วไปเห็นตรงกัน ว่านี่คือจุดที่ราคาควรหยุด หรือจุดที่เหมาะแล้วที่จะทำการณ์ (Action Zone)

แนวรับ คือเขตราคาที่อยู่ใต้การเคลื่อนไหว ณ ที่นี่ผู้ซื้อเข้ามาซื้อหนุนราคา ทำให้ลูกแพงหลุดลงไปไม่ได้ ส่วน แนวต้าน คือเขตราคาที่อยู่เหนือการเคลื่อนไหว ณ ที่นี้ผู้ขายเข้ามากดราคาลง ทำให้ราคายิ่งพุ่งขึ้นไปไม่ได้

เมื่อแนวต้านขาดทุนและหนีออกไปแล้ว มันก็จะเปลี่ยนตัวเป็นแนวรับตัวใหม่ที่แข็งแกร่ง ในทางเดียวกัน เมื่อแนวรับพ่ายแพ้ลงมา มันก็จะกลายเป็นแนวต้านที่มีประสิทธิภาพ

เหตุผลทำไมแนวรับและแนวต้านถึงมีอำนาจ: มุมมองทางเศรษฐศาสตร์

ในหลักการพื้นฐาน ราคาของสิ่งใดเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้นมาจากความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

เมื่อมีผู้ขายมากเกินไป (Excess Supply) พวกเขาจะกดราคาให้ตกลง จนกระทั่งมาถึงระดับหนึ่ง ที่ผู้ซื้อเห็นว่าราคาถูกพอแล้วมีการเข้ามาซื้อจำนวนมาก ความสมดุลจึงเกิดขึ้น และนี่คือ แนวรับ

ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีผู้ซื้อมากเกินไป (Excess Demand) พวกเขาจะผลักดันราคาสูงขึ้น จนถึงระดับที่ผู้ขายเห็นว่าแพงพอที่จะขายออกมา อุปสงค์จึงหยุด และนี่คือ แนวต้าน

การมองจากด้านมนุษยธรรม: ทำไมผู้เทรดถึงตัดสินใจเหมือนกันบ่อยครั้ง

นอกจากระดับราคา จิตใจมนุษย์ก็เล่นบทบาทสำคัญในการสร้างแนวรับและแนวต้าน ผู้เทรดมีอยู่สามประเภท:

  1. ผู้ซื้อเก่า - พวกเขารอให้ราคาดีดกลับขึ้นเพื่อตัดขาดทุน
  2. ผู้ขาย (Short Seller) - พวกเขาตั้งใจซื้อคืนเมื่อราคากลับตัวขึ้น
  3. ผู้รอสำเร็จ - พวกเขายังไม่มีสถานะ รอโอกาสดี ๆ

เมื่อราคาปรับตัวลงมา ณ ระดับที่ผู้ซื้อเก่ามองว่าราคาจะไม่ต่ำไปกว่านั้นแล้ว กลุ่มทั้งสามนี้จึงออกแรงซื้อตัวร่วมกัน ทำให้เกิดแนวรับขึ้น ในทางตรงข้าม เมื่อราคาพุ่งขึ้นมา ณ ระดับที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าแพงพอแล้ว ผู้ซื้อก็รีบขายออก ผู้ชอร์ตก็ขายเพิ่ม และพวกรอสำเร็จก็เปิดสัญญาขาย แรงดันขายจึงเพิ่มขึ้นจนเกิดแนวต้าน

จุดสำคัญ: ตัวเลขกลม ๆ (เช่น $100, $50) มักเป็นแนวรับแนวต้านทางจิตวิทยา เพราะมนุษย์เรามักนึกถึงตัวเลขแบบนี้ก่อน

5 วิธีการตามหาแนวรับและแนวต้าน: เครื่องมือเอามาใช้ได้จริง

ครั้งที่ 1: ใช้เส้นแนวโน้มจับความเคลื่อนไหว (Trendline)

สำหรับราคาที่กำลังขาขึ้น ให้ลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดต่อ ๆ กัน (Higher Low) → เป็นแนวรับ ลากเส้นผ่านจุดสูงสุด (Higher High) → เป็นแนวต้าน

สำหรับราคาที่กำลังขาลง ให้ลากเส้นผ่านจุดสูงสุดที่ลดลง (Lower High) → เป็นแนวต้าน ลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดที่ลดลง (Lower Low) → เป็นแนวรับ

ครั้งที่ 2: อาศัยเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) เป็นพื้นฐาน

เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) แสดงถึงต้นทุนเฉลี่ยของผู้เทรดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ค่าเฉลี่ย 50 วัน = ต้นทุนเฉลี่ยของคนในช่วง 50 วันที่ผ่านมา

  • ในแนวโน้มขาขึ้น เส้นนี้ทำหน้าที่เป็นแนวรับ
  • ในแนวโน้มขาลง เส้นนี้ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน

ครั้งที่ 3: วัดด้วยสัดส่วนทองคำ (Fibonacci Retracement)

ลำดับฟิโบนักชี (0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21…) สะท้อนให้เห็นสัดส่วนธรรมชาติ นักเทรดใช้ระดับ 23.6%, 38.2%, 61.8%, และ 78.6% เป็นจุดทำนายแนวรับแนวต้าน

ตัวอย่าง: หุ้นขาขึ้นจาก $10 เมื่อปรับลงมา 23.6% ที่ $7.64 → เป็นแนวรับแรก

ครั้งที่ 4: ช่องว่างราคา (Gap) เป็นพื้นที่ที่นักเทรดมองไม่เห็นความต้องการ

ราคากระโดดข้ามไปเพราะเกิดข่าวสำคัญ ช่องว่างนี้มักกลายเป็นแนวรับแนวต้านทางจิตวิทยา เพราะคนรู้สึกว่าต้องมาปิดช่องว่างนี้

  • ราคาขาขึ้นถูกสอบถาม แต่ไม่ลงไปปิดช่องว่าง → ช่องว่างคือแนวรับแข็ง
  • ราคาขาลงถูกรีบาวน์ แต่ไม่ขึ้นไปปิดช่องว่าง → ช่องว่างคือแนวต้านแข็ง

ครั้งที่ 5: ตัวเลขกลม ๆ (Round Number) ใจคนมองมันทั้งหมด

ราคา $100, $50, $1,000 มักเป็นจุดที่ผู้เทรดนึกถึงเป็นอันดับแรก ทำให้จุดเหล่านี้มีแรงผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามา และกลายเป็นแนวรับแนวต้านโดยอัตโนมัติ

เอามาใช้จริง: สามรูปแบบการเทรดตามแนวรับแนวต้าน

สถานการณ์ที่ 1: ราคาโยกไปมาในกรอบ (Range Trading)

เมื่อราคาเคลื่อนไหวระหว่างแนวรับและแนวต้าน โดยไม่มีแนวโน้มชัดเจน วิธีการคือ:

  • ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน
  • คำเตือน: ระวังว่าเทรนจะเปลี่ยนตัวกลางการซื้อขาย

สถานการณ์ที่ 2: ราคากลับตัว (Reversal)

เมื่อราคากำลังขาขึ้นจนชนแนวต้าน มีสัญญาณแสดงว่าจะหมุนกลับเป็นขาลง ขายที่แนวต้าน เมื่อราคากำลังขาลงจนตัวแนวรับ มีสัญญาณแสดงว่าจะหมุนกลับเป็นขาขึ้น ซื้อที่แนวรับ

สถานการณ์ที่ 3: ราคาทะลุแนวรับแนวต้าน (Breakout)

เมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านอย่างรุนแรงพร้อมปริมาณการซื้อขายสูง:

  • แนวต้านเก่าจะกลายเป็นแนวรับตัวใหม่
  • วิธีการเทรด: ซื้อตอนทะลุ หรือซื้อเมื่อราคากลับมาทดสอบแนวรับใหม่แล้วไม่หลุด

เมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับอย่างรุนแรง:

  • แนวรับเก่าจะกลายเป็นแนวต้านตัวใหม่
  • วิธีการเทรด: ขายตอนหลุด หรือขายเมื่อราคากลับมาทดสอบแนวต้านใหม่แล้วไม่เจาะ

3 เรื่องที่คนมักพลาด เมื่อใช้แนวรับและแนวต้าน

ข้อที่ 1: อย่าเทรดสวนเทรน

สำนักที่ว่า “Trend is your friend” (แนวโน้มคือเพื่อนที่ดี) นั้นจริงมากๆ เมื่อราคาขาขึ้น การขายถึงแม้จะตรงจุดสูง ก็อาจสร้างสูงกว่านั้นอีก ส่วนการซื้อในแนวขาลงก็อาจตกลงต่อ การสวนเทรนคือการให้อำนาจชีวิตกับตลาดนั่นเอง

ข้อที่ 2: ระวังเบรคแนวรับแนวต้านที่เทียม (False Breakout)

บ่อยครั้ง ราคากระชาขึ้นไปเหนือแนวต้าน แต่ไม่มีปริมาณการซื้อขายตาม ราคาเลยสวิงกลับเข้ามา ใครที่ซื้อเมื่อเบรคก็ต้องกินขาดทุน การตรวจสอบปริมาณ (Volume) เป็นสิ่งจำเป็น ควรมีปริมาณสูงตามไป เบรคใหม่ ๆ ที่ไม่มีปริมาณสูงก็น่าสงสัย

ข้อที่ 3: อย่าลืมตั้งสต็อปลอส

ไม่ว่าแนวรับแนวต้านแข็งแกร่งขนาดไหน ก็อาจถูกทะลุได้ ทุกครั้งที่เข้าทำรายการใจควรพร้อม ว่าจุดไหนคือจุดที่จะยอมแพ้ออกจากตำแหน่ง นี่คือจุดเข้าออกที่ดี

Xem bản gốc
Trang này có thể chứa nội dung của bên thứ ba, được cung cấp chỉ nhằm mục đích thông tin (không phải là tuyên bố/bảo đảm) và không được coi là sự chứng thực cho quan điểm của Gate hoặc là lời khuyên về tài chính hoặc chuyên môn. Xem Tuyên bố từ chối trách nhiệm để biết chi tiết.
  • Phần thưởng
  • Bình luận
  • Đăng lại
  • Retweed
Bình luận
0/400
Không có bình luận
  • Gate Fun hot

    Xem thêm
  • Vốn hóa:$3.53KNgười nắm giữ:2
    0.00%
  • Vốn hóa:$3.56KNgười nắm giữ:2
    0.00%
  • Vốn hóa:$3.53KNgười nắm giữ:2
    0.04%
  • Vốn hóa:$3.5KNgười nắm giữ:1
    0.00%
  • Vốn hóa:$3.5KNgười nắm giữ:1
    0.00%
  • Ghim