Halaman ini mungkin berisi konten pihak ketiga, yang disediakan untuk tujuan informasi saja (bukan pernyataan/jaminan) dan tidak boleh dianggap sebagai dukungan terhadap pandangannya oleh Gate, atau sebagai nasihat keuangan atau profesional. Lihat Penafian untuk detailnya.
Memahami permintaan dan penawaran untuk trading saham dengan lebih akurat
เมื่อราคาหุ้นพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างกะทันหัน นักลงทุนมักถามตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คำตอบส่วนใหญ่แล้วนั้นอยู่ที่หลักการอุปสงค์อุปทานพื้นฐาน ซึ่งไม่ใช่แค่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แห่งม่านม้วนหนังสือ แต่เป็นพลัง “ที่มองไม่เห็น” ที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นและสินทรัพย์ทั่วโลกทุกวัน
ความต้องการซื้อและความต้องการขาย: ลดรูปได้แค่สองฝ่าย
หากแยกแยะออกมา อุปสงค์คือความต้องการเข้าถือครองสินค้า ที่ดัดแปลงไปตามราคา ในตลาดหุ้น อุปสงค์หมายถึงจำนวนผู้ที่ต้องการซื้อหุ้นอยู่ในระดับราคาต่างๆ เมื่อเราพล็อตข้อมูลนี้ลงบนกราฟ เราจะได้เส้นอุปสงค์ที่มีความลาดเอียงลงจากซ้ายไปขวา นั่นเพราะเมื่อราคาลดลง คนที่ต้องการซื้อก็เพิ่มขึ้น
ในทางตรงข้าม อุปทานคือความต้องการขายสินค้า ที่ก็ขึ้นอยู่กับราคาด้วยเช่นกัน เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้ขายก็ต้องการเสนอขายมากขึ้น ถ้าเราพล็อตจุดของอุปทานลงบนกราฟเดียวกัน เราจะได้เส้นอุปทานที่ลาดเอียงขึ้นจากซ้ายไปขวา
ปัจจัยลึกที่ขับเคลื่อนอุปสงค์
ราคาไม่ใช่ตัวแปรเดียวที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่:
ส่วนเกิน ส่วนขาด และจุดสมดุล
ที่นี่เป็นที่ที่เรื่องเริ่มน่าสนใจ ราคาสุดท้ายที่เกิดขึ้นจริงในตลาดไม่ได้มาจากอุปสงค์หรืออุปทานคนเดียว แต่มาจากการที่เส้นทั้งสองตัดกันที่ “ดุลยภาพ”
เมื่อราคาสูงกว่าดุลยภาพ จะมีสินค้าเหลือมาก (supply surplus) ผู้ขายต้องลดราคาให้ถูกลงเพื่อให้คนซื้อ ราคาจึงเปลี่ยนเข้าหาดุลยภาพ
เมื่อราคาต่ำกว่าดุลยภาพ จะมีสินค้าขาดแคลน (demand surplus) ผู้ซื้อต้องเพิ่มราคาให้สูงขึ้นจึงจะได้สินค้า ราคาจึงเปลี่ยนขึ้นเข้าหาดุลยภาพ
กลไกนี้ทำงานเสมอ เหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังปรับแต่งราคา
ปัจจัยที่ขับเคลื่อนอุปทาน: เรื่องของต้นทุนและนโยบาย
ส่วนอุปทานนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ที่ผู้ขายต้องการขายหรือไม่ แต่มีปัจจัยลึกอยู่เบื้องหลัง:
จากทฤษฎีสู่การเทรด: ใช้ Demand Supply Zone
นักเทรดแนวหลักไม่ได้นั่งคิดเรื่องเส้นอุปสงค์และอุปทานขณะดูกราฟราคา แต่พวกเขาใช้แนวคิดนี้ในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เรียกว่า “Demand Supply Zone”
โครงสร้างพื้นฐาน: Drop-Base-Rally
ลองจินตการณ์ว่าหุ้นตัวหนึ่งได้รับข่าวลบ ราคาดิ่งลงเร็วมาก (Drop) แรงขายมีมาก แต่เมื่อราคาลงเยอะแล้ว ผู้ซื้อเริ่มเห็นว่าเป็นโอกาส ราคาไม่ลงต่อแต่เริ่มแกว่ง (Base) หลังจากนั้น หากมีข่าวดีเข้ามา แรงซื้อกลับแกร่ง ราคาจึงพุ่งขึ้นอีก (Rally)
จุด Base นี้คือที่ที่แรงซื้อและแรงขายสมดุลกันชั่วคราว นักเทรดจึงเฝ้าดูและเข้าทำรายการเมื่อราคาทะลุกรอบพื้นที่ Base นั้น พร้อมตั้งจุดตัดขาดทุน
โครงสร้างอื่น: Rally-Base-Drop
ตรงกันข้ามกับข้างบน บ้างครั้งหุ้นก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rally) เพราะข่าวดี หลังจากขึ้นสูงแล้ว เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ที่พึงพอใจเก็บกำไรกับผู้ที่ยังต้องการซื้อเพิ่ม ราคาจึงแกว่ง (Base) เมื่อแรงขายกลับมาชนะ (อาจเพราะข่าวร้าย) ราคาก็ดิ่ง (Drop)
ปัจจัยเหล่านี้ทำงานในตลาดหุ้นจริงอย่างไร
ในตลาดการเงินจริง อุปสงค์และอุปทานไม่ได้เป็นตัวเลขที่แน่นอน แต่มีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทางด้านอุปสงค์ ผู้ลงทุนสนใจซื้อหุ้นเมื่อ:
ทางด้านอุปทาน ผู้ขายหุ้นเสนอขายเมื่อ:
การอ่านกราฟเพื่อหา Demand Supply Zone
การหาโซนอุปสงค์-อุปทานนั้น ไม่ได้ต้องใช้เครื่องมือสลับสวรรค์ ดูแท่งเทียนก็ได้:
เมื่อเห็นแท่งเทียนใหญ่ๆ ตามด้วยการแกว่งตัว ก็ลองดูว่า Range ของการแกว่งอยู่ตรงไหน บ้างครั้งนั่นก็คือโซนอุปสงค์หรืออุปทาน
ตัวอย่างจากจริง: เทรด DBR (Drop-Base-Rally)
ปล่อยให้นักลงทุนคนหนึ่งเห็นหุ้นตัวโปรด (มูลค่าตลาดสูง ผลประกอบการดี) ได้รับข่าวลบที่ไม่คาดคิด ราคาดิ่งลงจาก 100 บาท เหลือ 85 บาท ในเพียงไม่กี่วัน (Drop)
ที่ราคา 85 บาท นั่นเป็นระดับที่นักลงทุนมหาวิทยาลัยเริ่มเห็นว่า “ถูกเกินไป ควรอยู่ที่ 95-100 บาท” จึงเริ่มซื้อเข้า ส่วนคนที่ซื้อ 100 บาทเดิม บ้างคนอยากรอให้ขึ้นกลับ บ้างคนสิ้นเชื่อแล้วต้องการออก ราคาจึงแกว่งระหว่าง 85-88 บาท เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ (Base)
ต่อมามีข่าวดี (เช่น ประกาศแผนขยายธุรกิจสาขาใหม่) มือซื้อปรับตัวเป็นเศษส่วนแสน ราคาพุ่งขึ้นทะลุแนวต้าน 88 บาทเข้าไป วิ่งขึ้นไปยัง 95-100 บาท (Rally) นักเทรดที่เข้าที่จุด Breakout (88-89 บาท) ก็ได้ผลกำไร 6-11 บาทต่อหุ้น
อุปสงค์อุปทานบอกเราอะไร
ที่สำคัญที่สุด อุปสงค์และอุปทานบอกนักลงทุนว่า ราคาไม่ใช่ตัวเลขสุ่ม มีเหตุมีผลการเปลี่ยนแปลง บ่อยครั้งที่ราคาเปลี่ยนไปก่อนที่ข่าวจะประกาศออกมา เพราะตลาดเต็มไปด้วยผู้ที่มีข้อมูลก่อนหน้า หรือเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงจิตใจของกลุ่มผู้ลงทุนก็พอ
การเข้าใจหลักการนี้ไม่ได้หมายว่านักลงทุนจะทำนายราคาได้ 100% แต่เป็นการเพิ่มโอกาสให้คำตัดสินใจซื้อ-ขายของเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เป็นเหตุผล ไม่ใช่แค่การเดาเลขสุ่ม