## Depreciation คืออะไร แล้วทำไมนักบัญชีถึงต้องใจเมื่อบริษัทซื้อเครื่องจักรหรือยานพาหนะ เงินนั้นไม่ได้หายไปทันที แต่ค่อย ๆ สูญเสียมูลค่าไปตามปีที่ผ่านไป **Depreciation** คือกระบวนการบัญชีที่ใช้ในการบันทึกการลดลงนี้ นักบัญชีจะหักต้นทุนของสินทรัพย์ในแต่ละปี เพื่อให้ตรงกับช่วงเวลาที่สินทรัพย์สร้างรายได้ให้ธุรกิจสิ่งสำคัญคือ depreciation ไม่ใช่การจ่ายเงินจริง แต่เป็นการบันทึกค่าใช้จ่ายในรายงานการเงิน นอกจากนี้ยังมี **Amortization** ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกันแต่ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตรและลิขสิทธิ์## ทำความเข้าใจ Depreciation ผ่าน 2 มุมมอง**มุมมองแรก**: มูลค่าสินทรัพย์ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เครื่องจักรที่เพิ่งซื้อมาจะมีค่าสูง แต่ยิ่งใช้งานนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแก่เก่า**มุมมองที่สอง**: จัดสรรต้นทุนเริ่มแรกของสินทรัพย์ให้กระจายไปตามปีที่สินทรัพย์สามารถใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อแล็ปท็อปราคา 100,000 บาท และคาดว่าจะใช้ได้ 5 ปี ผลต่างนี้จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีในบัญชีเมื่อนักบัญชีจัดทำงบประมาณหรือรายงานการเงิน depreciation จะถูกบันทึกเป็นต้นทุนคงที่ (เว้นแต่ใช้วิธีคำนวณแบบพิเศษที่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการใช้งาน)## Depreciation มีผลต่อกำไรและภาษีอย่างไร**Depreciation** เป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณ EBIT (กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี) เมื่อคุณหักค่าเสื่อมราคาออกจากรายได้ กำไรสุทธิจะลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงต้องระวังเมื่อเปรียบเทียบบริษัทที่มีสินทรัพย์มากกับบริษัทที่มีสินทรัพย์น้อยความแตกต่างระหว่าง EBIT และ EBITDA คือในการคำนวณ EBITDA จะบวก depreciation และ amortization กลับเข้าไปในรายได้ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนกว่าเกี่ยวกับการสร้างเงินสดจริงของบริษัท- **EBIT** = กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (หักแล้ว depreciation)- **EBITDA** = กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี depreciation และ amortization (ยังไม่หักทั้งหมด)## สินทรัพย์ใดบ้างที่คิดค่าเสื่อมราคาได้กรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนว่าสินทรัพย์ประเภทไหนที่เข้าข่ายได้รับการคิด depreciation เงื่อนไขหลักมี 3 ประการ:1. **สินทรัพย์เป็นของคุณและใช้ในธุรกิจ** - ต้องนำไปใช้เพื่อสร้างรายได้2. **มีอายุการใช้งานที่นิยาม** - ไม่สามารถใช้ได้ตลอดไป3. **คาดว่าจะอยู่ได้เกิน 1 ปี** - สินทรัพย์ชั่วคราวไม่นับ**สินทรัพย์ที่คิด depreciation ได้บ่อยที่สุด:**- ยานพาหนะ และรถโรงแรม- อาคาร และทรัพย์สินประเภทนี้- เครื่องจักรและอุปกรณ์โรงงาน- คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยี- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และซอฟต์แวร์**สินทรัพย์ที่ไม่สามารถคิด depreciation ได้:**- ที่ดิน (เพราะไม่เสื่อมสภาพ)- ของสะสมมูลค่า เช่น งานศิลปะ เหรียญ- หลักทรัพย์ เช่น หุ้นและพันธบัตร- ทรัพย์สินส่วนบุคคล- สินทรัพย์ใช้ได้น้อยกว่า 1 ปี## 4 วิธีการคิด Depreciation ที่นิยมใช้### 1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)นี่คือวิธีง่ายที่สุดและนิยมใช้มากที่สุด คุณแบ่งต้นทุนสินทรัพย์เท่า ๆ กันตลอดอายุการใช้งาน**ตัวอย่าง:** บริษัทซื้อรถยนต์ 100,000 บาท คาดว่าจะใช้ได้ 5 ปี ค่า depreciation ปีละ 20,000 บาท นั่นคือ (100,000 ÷ 5 = 20,000)**ข้อดี:**- ใช้งานง่าย เกิดข้อผิดพลาดน้อย- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ระบบบัญชีเรียบง่าย**ข้อเสีย:**- ไม่คำนึงถึงการสูญเสียมูลค่าอย่างรวดเร็วในระยะสั้น- ไม่คำนึงถึงต้นทุนบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นเมื่อสินทรัพย์แก่เก่า### 2. วิธีลดลงสองเท่า (Double-Declining Balance)วิธีนี้ตัดค่าเสื่อมราคาจำนวนมากในปีแรก ๆ แล้วค่อย ๆ ลดลงตามเวลา เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการกู้คืนต้นทุนได้เร็ว**ข้อดี:**- ช่วยชดเชยต้นทุนบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น- เพิ่มการลดหย่อนภาษีสูงสุดในปีแรก ๆ**ข้อเสีย:**- ไม่มีประโยชน์ถ้าบริษัทขาดทุนทางภาษีอยู่แล้ว### 3. วิธีลดลงแบบเร่ง (Declining Balance)มูลค่าสินทรัพย์ถูกคิดค่าเสื่อมราคาเป็นสองเท่าของอัตราที่เส้นตรง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงในปีแรก ๆ แล้วค่อยลด### 4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)วิธีนี้คิดค่าเสื่อมราคาตามความถี่ที่ใช้สินทรัพย์ เช่น จำนวนชั่วโมงทำงาน หรือปริมาณสินค้าที่ผลิต**เหมาะสำหรับ:** เครื่องจักรที่มีผลผลิตวัดได้ และต้องการความแม่นยำ**ข้อดี:** วัดค่า depreciation ได้แม่นยำตามการใช้งานจริง**ข้อเสีย:** ยากในการประมาณจำนวนหน่วยที่จะผลิตได้ก่อนสินทรัพย์หมดอายุ## Amortization คืออะไร และต่างจาก Depreciation อย่างไร**Amortization** คือกระบวนการลดลงของมูลค่าทางการเงินของเงินกู้หรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตนตามเวลา โดยทั่วไปใช้กับ:- **เงินกู้:** บ้าน รถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล- **สินทรัพย์ไม่มีตัวตน:** สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้าเมื่อชำระเงินกู้ สัดส่วนของดอกเบี้ยสูงในการชำระครั้งแรก แล้วค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งครบกำหนด เงินต้นจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ**ตัวอย่าง amortization:**- **สินทรัพย์:** สิทธิบัตรราคา 10,000 บาท มีอายุ 10 ปี → amortization ปีละ 1,000 บาท- **เงินกู้:** ยืม 10,000 บาท ชำระต้นทุนปีละ 2,000 บาท → amortization 2,000 บาท ต่อปี## ความแตกต่างหลัก: Depreciation vs Amortization| หัวข้อ | Depreciation | Amortization ||------|------------|------------|| **สินทรัพย์** | จับต้องได้ (ยานพาหนะ เครื่องจักร) | ไม่จับต้องได้ (สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) || **วิธีคำนวณ** | หลายวิธี (เส้นตรง ลดลง ฯลฯ) | เฉพาะเส้นตรง || **มูลค่าคงเหลือ** | พิจารณา salvage value | ไม่มี salvage value || **การใช้งาน** | ทั่วไป | มักใช้เมื่อซื้อธุรกิจ |## ทำไม Depreciation ถึงสำคัญต่อการวิเคราะห์การเงินการทำความเข้าใจ depreciation และ amortization ช่วยให้นักลงทุนอ่านงบการเงินได้ลึกซึ้งมากขึ้น สินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่จะมี depreciation สูง ซึ่งลดกำไรสุทธิแม้ว่าบริษัทกำลังบริหารได้ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อดู EBITDA จะเห็นความสามารถในการสร้างเงินสดจริงได้ชัดเจนกว่าไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การจัดการ depreciation อย่างถูกต้องนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการจดสรรภาษีให้เหมาะสมที่สุด
الأصول المستهلكة: لماذا يجب أن نأخذ في الاعتبار الاستهلاك في المحاسبة؟
Depreciation คืออะไร แล้วทำไมนักบัญชีถึงต้องใจ
เมื่อบริษัทซื้อเครื่องจักรหรือยานพาหนะ เงินนั้นไม่ได้หายไปทันที แต่ค่อย ๆ สูญเสียมูลค่าไปตามปีที่ผ่านไป Depreciation คือกระบวนการบัญชีที่ใช้ในการบันทึกการลดลงนี้ นักบัญชีจะหักต้นทุนของสินทรัพย์ในแต่ละปี เพื่อให้ตรงกับช่วงเวลาที่สินทรัพย์สร้างรายได้ให้ธุรกิจ
สิ่งสำคัญคือ depreciation ไม่ใช่การจ่ายเงินจริง แต่เป็นการบันทึกค่าใช้จ่ายในรายงานการเงิน นอกจากนี้ยังมี Amortization ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกันแต่ใช้กับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น สิทธิบัตรและลิขสิทธิ์
ทำความเข้าใจ Depreciation ผ่าน 2 มุมมอง
มุมมองแรก: มูลค่าสินทรัพย์ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เครื่องจักรที่เพิ่งซื้อมาจะมีค่าสูง แต่ยิ่งใช้งานนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแก่เก่า
มุมมองที่สอง: จัดสรรต้นทุนเริ่มแรกของสินทรัพย์ให้กระจายไปตามปีที่สินทรัพย์สามารถใช้งานได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อแล็ปท็อปราคา 100,000 บาท และคาดว่าจะใช้ได้ 5 ปี ผลต่างนี้จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีในบัญชี
เมื่อนักบัญชีจัดทำงบประมาณหรือรายงานการเงิน depreciation จะถูกบันทึกเป็นต้นทุนคงที่ (เว้นแต่ใช้วิธีคำนวณแบบพิเศษที่เปลี่ยนแปลงตามปริมาณการใช้งาน)
Depreciation มีผลต่อกำไรและภาษีอย่างไร
Depreciation เป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณ EBIT (กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี) เมื่อคุณหักค่าเสื่อมราคาออกจากรายได้ กำไรสุทธิจะลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนถึงต้องระวังเมื่อเปรียบเทียบบริษัทที่มีสินทรัพย์มากกับบริษัทที่มีสินทรัพย์น้อย
ความแตกต่างระหว่าง EBIT และ EBITDA คือในการคำนวณ EBITDA จะบวก depreciation และ amortization กลับเข้าไปในรายได้ ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนกว่าเกี่ยวกับการสร้างเงินสดจริงของบริษัท
สินทรัพย์ใดบ้างที่คิดค่าเสื่อมราคาได้
กรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนว่าสินทรัพย์ประเภทไหนที่เข้าข่ายได้รับการคิด depreciation เงื่อนไขหลักมี 3 ประการ:
สินทรัพย์ที่คิด depreciation ได้บ่อยที่สุด:
สินทรัพย์ที่ไม่สามารถคิด depreciation ได้:
4 วิธีการคิด Depreciation ที่นิยมใช้
1. วิธีเส้นตรง (Straight-line Method)
นี่คือวิธีง่ายที่สุดและนิยมใช้มากที่สุด คุณแบ่งต้นทุนสินทรัพย์เท่า ๆ กันตลอดอายุการใช้งาน
ตัวอย่าง: บริษัทซื้อรถยนต์ 100,000 บาท คาดว่าจะใช้ได้ 5 ปี ค่า depreciation ปีละ 20,000 บาท นั่นคือ (100,000 ÷ 5 = 20,000)
ข้อดี:
ข้อเสีย:
2. วิธีลดลงสองเท่า (Double-Declining Balance)
วิธีนี้ตัดค่าเสื่อมราคาจำนวนมากในปีแรก ๆ แล้วค่อย ๆ ลดลงตามเวลา เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการกู้คืนต้นทุนได้เร็ว
ข้อดี:
ข้อเสีย:
3. วิธีลดลงแบบเร่ง (Declining Balance)
มูลค่าสินทรัพย์ถูกคิดค่าเสื่อมราคาเป็นสองเท่าของอัตราที่เส้นตรง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงในปีแรก ๆ แล้วค่อยลด
4. วิธีหน่วยการผลิต (Units of Production)
วิธีนี้คิดค่าเสื่อมราคาตามความถี่ที่ใช้สินทรัพย์ เช่น จำนวนชั่วโมงทำงาน หรือปริมาณสินค้าที่ผลิต
เหมาะสำหรับ: เครื่องจักรที่มีผลผลิตวัดได้ และต้องการความแม่นยำ
ข้อดี: วัดค่า depreciation ได้แม่นยำตามการใช้งานจริง
ข้อเสีย: ยากในการประมาณจำนวนหน่วยที่จะผลิตได้ก่อนสินทรัพย์หมดอายุ
Amortization คืออะไร และต่างจาก Depreciation อย่างไร
Amortization คือกระบวนการลดลงของมูลค่าทางการเงินของเงินกู้หรือสินทรัพย์ไม่มีตัวตนตามเวลา โดยทั่วไปใช้กับ:
เมื่อชำระเงินกู้ สัดส่วนของดอกเบี้ยสูงในการชำระครั้งแรก แล้วค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งครบกำหนด เงินต้นจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวอย่าง amortization:
ความแตกต่างหลัก: Depreciation vs Amortization
ทำไม Depreciation ถึงสำคัญต่อการวิเคราะห์การเงิน
การทำความเข้าใจ depreciation และ amortization ช่วยให้นักลงทุนอ่านงบการเงินได้ลึกซึ้งมากขึ้น สินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่จะมี depreciation สูง ซึ่งลดกำไรสุทธิแม้ว่าบริษัทกำลังบริหารได้ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อดู EBITDA จะเห็นความสามารถในการสร้างเงินสดจริงได้ชัดเจนกว่า
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การจัดการ depreciation อย่างถูกต้องนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการจดสรรภาษีให้เหมาะสมที่สุด